วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความสำคัญของครูต้นแบบ บทที่3



มีคำถามต่อมาว่า ทำไมเราจึงต้องมีครูต้นแบบ เพราะพวกเราทึ่ท่าหน้าที่เป็นครูกันอยู่ทุกวันนี้
กว่าจะมา เป็นครูได้ เราก็ต้องอาศัยต้นแบบมาก่อนเหมีอนกัน คือเราก็ต้องมีครูของเรามาก่อน แล้วครูของเราแต่ละท่าน กว่าจะมาเป็นครูให้เราไต้ ท่านก็มีครูของครูกันมา เป็นต้นแบบกันมาตามลำดับ ๆ จนกระทั่งมาถึงพวกเราจึงทำให้เราต้องมาเป็นต้นแบบให้กับลูกศิษย์ของเราใน ขณะนี้ และลูกศิษย์ของเราขณะนี้ วันหนึ่งก็จะต้อง เป็นต้นแบบให้กับรุ่นต่อๆ ไป

แต่คำถามคือ ทำไมเราจึงต้องมีบุคคลต้นแบบหรือ มีครูต้นแบบในโลกนี้ต้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราเกิดมา พร้อมกับความไม่รู้จริงอะไรเลย คือเราเกิดมาพร้อมกับ อวิชชา หรือเกิดมาพร้อมกับความโง่นั่นเอง คือ ไม่ได้รู้ อะไรเลย แล้วค่อยมาคืกษาเอาภายหลังทั้งนั้น ศึกษา จากคุณพ่อคุณแม่บ้าง
คุณครูบ้าง พระสงฆ์บ้าง ลุง ป้า น้า อาบ้าง ค่อยสะสมความรู้กันมาตามลำดับๆ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ชัดลงไปว่า จากการที่ พระองค์ได้ทรงค้นคว้าเรื่องราวความเป็นจริงของโลกชีวิต และจิตใจ มาเป็นเวลา ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป คำ ว่ามหากัปคืออายุของโลกแต่ละครั้ง โดยนับตั้งแต่โลก เป็นหมอกเพลิง จนกระทั่งเย็นลง แล้วก็มีสัตวโลกมา อาศัยอยู่ ครั้นแล้วต่อมาความไม่รู้จริงของสัตวโลกได้ทำ เรื่องร้ายๆ ให้เกิดขึ้น แล้วโลกก็เลยเผาไหม้กลายเป็นจุลไป เหมือนกับเด็กที่เผากระต๊อบ เผาบ้านของตนทิ้งนั่นแหละ แต่ว่าเด็กเผากระต๊อบเฉพาะที่ตนอยู่ ส่วนชาวโลกทำเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร ด้วยความไม่รู้จริง โลกทั้งโลกมันก็ เลยไหม้กลับกลายเป็นหมอกเพลิงไปอีก

ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสียเวลานานถึง ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป กว่าจะค้นพบความเป็นจริงของ โลก ชีวิต และจิตใจ เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดจะวิจัยเอง ก็คงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่านี้ ดังนั้น ก็อย่าเสีย เวลาเลย ขอให้เรียนรู้ตามที่พระบรมครูทรงสอนไว้ก่อน ถ้าใครอยากจะพิสูจน์ก็สามารถพิสูจน์ตามแนวทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ตอนนี้ให้รับไว้ก่อน
พระองค์ทรงชี้ชัดว่า มีความจริงของโลก ชีวิตและ จิตใจที่ทุกๆ คนจำเป็นต้องรู้ไว้ ๒ เรื่องใหญ่ คือ ๑) เรา เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ๒) มีกฎเหล็กกำกับชีวิตสัตว-โลกเอาไว้แล้วคือ กฎแห่งกรรม

สิ่งที่เราคิด เราพูด เราทำ ลงไปนั้นไม่สูญเปล่า จะมีผลเป็นกรรมติดตัวตลอดไป แม้ไม่มีตำรวจมาจ้องตรวจสอบไม่มียมบาลแวะเวียนมาดู ไม่มีเทวดามาคอยจดบันทึก แต่ว่าก็มีผลติดตัวเราไป กล่าวคือ ทุกสิงที่เราคิด ทุกอย่างที่เราทำ ทุกคำที่เราพูด ล้วนมีผลติดตัวเราตลอดไป ถ้าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นกรรมชั่ว ผลแห่งกรรมชั่วนั้นก็จะตามล้างตามผลาญเราให้ตกตํ่า

ไม่รู้จบรู้สิ้น แต่ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นกรรมดี ก็จะติดตามส่ง ผลให้เรามีความสุขความเจริญไม่รู้จบรู้สิ้นเช่นกัน ตาม กฎแห่งกรรม
ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม การกระทำล้วนมีผลต่อเราทั้งสิ้น เช่นเด็กที่ไม่รู้ว่าไฟร้อน ถ้าเอามือไปจับถ่านไฟเข้า จับปับมือก็พอง ก็เจ็บ นี่เป็น ตัวอย่างทางด้านกายภาพ แต่ว่าถ้าแทนที่จะไปจับถ่าน ร้อนๆ กลับไปจับหัวพ่อหัวแม่เล่นเข้าเท่านั้น มีเรื่องตาม มาอีกยาวเหยียด มันไม่ใช่แค่ร้อนเหมือนไฟถ่าน แต่มี ผลอย่างอื่นที่ไม่น่าพึงพอใจตามมา ภาษาพระท่านใช้คำ ว่ามีบาปกรรมตามมานะลูกนะ

ในเมื่อทุกอย่างที่เราตั้งใจคิด ทุกคำที่เราตั้งใจพูด และทุกสิงที่เราตั้งใจทำ ล้วนเป็นกรรมติดตัวเรา ถ้ากรรม นั้นเป็นกรรมไม่ดี ก็จะตามล้างตามผลาญเราไป ไม่ เฉพาะแต่ในชาตินี้ แม้ข้ามชาติมันก็ยังตามล้างตาม ผลาญไม่ยอมเลิก จนมีภาษิตเป็นสำนวนในภาษาปูย่าตา ยายของเราว่าเป็น กงเกวียนกำเกวียน ซึ่งเอามาจาก พระพุทธศาสนาว่า กรรมชั่วที่คนเราทำไว้จะตามบดขยี้ตัวเอง เหมือนกงล้อเกวียนที่ตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลาก เกวียนไปฉะนั้น ไม่รู้จบรู้สิ้น

ตรงกันข้าม ถ้า สิ่งที่เราตั้งใจคิด ที่เราตั้งใจพูด ที่เรา ตั้งใจทำ มันเป็นกรรมดีก็จะส่งผลให้เรามีแต่ความสุข ความเจริญ ไม่เฉพาะในวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ เท่านั้น ข้ามชาติก็ยังส่งผลให้เป็นความสุขความเจริญต่อไปอีก ดูจากพวกเราเองเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เกิด ก็มีสติ มีปัญญาติดตัวมามากในระดับหนึ่ง ทำให้เมื่อโตขึ้นก็ สามารถเรียนรู้เรื่องความรู้ความดีได้มากกว่าคนอื่น จน กระทั่งได้มาเป็นครูคน ถ้าไม่มีผลแห่งกรรมดีติดตัวข้าม ชาติมา ก็ยากที่จะได้มาทำหน้าที่นี้ แค่จะเกิดเป็นคนยังยาก อาจต้องกลายไปเป็นสัตวโลกชนิดอื่นไป แต่เพราะอาศัย กรรมดีที่มีติดตัวข้ามชาติมา รวมกับกรรมดีที่สั่งสมหลัง จากเกิดมาแล้ว จึงได้มาเป็นครูต้นแบบในวันนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าปรารถนาจะให้คนทั้งโลก ไม่ต้อง ไปทำกรรมชั่ว ให้กงเกวียนหรือล้อเกวียนตามขยี้ตัวเอง เหมือนกงล้อเกวียนที่ตามขยี้รอยเท้าโค รอยเท้าควาย เราต้องหาวิธีป้องกันกรรมชั่ว ไม่ให้เกิดขึ้นกับทุกๆคนในโลกนี้ตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นมา วิธีที่ง่ายที่สุด และมี ประสิทธิภาพที่สุดคือ ต้องเตรียมบุคคลต้นแบบรอไว้ตลอด เวลานั่นเอง

หากบุคคลหรือศิษย์คน ใด ได้บุคคลดีหรือครูดี เป็นต้นแบบ บุคคลนั้นหรือศิษย์นั้นจึงมีโอกาสเป็นคนดี หรือได้ดีตามครูมาอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องไปพลั้งเผลอ สร้างกรรมชั่ว ให้ตามบดขยี้ให้ชํ้าอกชํ้าใจ ตลอดชีวิตหรือ ข้ามชาติไปด้วย เพราะฉะนั้น คนโชคดีคือคนที่เกิดมาแล้ว ไต้ครูดีๆ เป็นต้นแบบ ถึงแม้พ่อแม่ อาจจะไม่มีกองมรดก เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนล้านกองเอาไว้ให้ หรือเกิดมา มีรูปร่างหน้าตาไม่หล่อเหมือนดารา ไม่สวยเหมือน นางงามจักรวาล แต่ว่าได้ครูดีเป็นต้นแบบ เพียงแค่นี้ก็มี คุณค่ามหาศาลแก่ชีวิตแล้ว มีค่ากว่าเงินเป็นหมื่นเป็น แสนล้าน มีค่ากว่าความหล่อความสวยเหล่านั้น เพราะ สามารถป้องกันกรรมชั่วไม่ให้เกิดตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นแล้ว ต่อแต่นั้เปทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่กรรมดี มีแต่ผลบุญ คุ้มครองตัวไปตลอดชีวิต คำว่าตกตํ่าจะไม่มีเลย มัน วิเศษตรงนี้ สำหรับคนที่ได้ครูดีเป็นต้นแบบ

อย่างที่เรารู้กัน ความดีไม่เคยมีใครได้มาฟรีๆ เหมือนความชั่ว ถ้าเปรียบกับท้องไร่ท้องนา ข้าวในนาไม่ ได้มาฟรีๆ ต้องไถ ต้องหว่าน ต้องทดนํ้าเข้านา ต้องดูแล ต้องใส่ปุยกันสารพัด กว่าจะได้ข้าวในนาเอามากิน กว่าจะ ได้ข้าวมาแต่ละต้น แต่ละรวงมาหุงเป็นข้าวในหม้อให้เรากิน เหนื่อยแทบตาย แต่หญ้าในนาได้ฟรี มันงอกขึ้นมาเอง ถอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเตียน มันได้มาฟรีๆ

ความดีเปรียบเหมือนข้าวในนา ปลูกแล้วปลูกอีก บำรุงแล้วบำรุงอีก กว่าจะได้เป็นข้าว กว่าจะได้เป็นความดี ติดตัวมา มันใช้เวลา ใช้ความพยายาม ในขณะที่กรรมไม่ดี มันเกิดขึ้นได้เอง เหมือนกับหญ้าในท้องนานั่นแหละ

เพราะฉะนั้นการที่ใครจะได้มาเป็นครูต้นแบบไม่ง่าย เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก กว่าจะได้เป็น ต้องฝึกตัวเอง แล้วฝึกตัวเองอีก ทั้งๆ ที่ฝึกแล้วฝึกอีก แต่ก็ยังดีได้ไม่ สมบูรณ์ เพราะ ๑) ที่ไม่ดีก็ยังมีตกค้างอยู่ ยังไม่หมด ๒) สิงที่เราว่าดีแล้ว แต่ดีกว่านี้มันยังมี นั่นแสดงว่าเรา ยังดีไม่จริง ตรงนี้เอง ก็เลยทำให้เราต้องมาสีกษาธรรมะของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมาศึกษากันว่า ครูต้นแบบที่ดี จริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้มาตรฐานไว้ว่าอย่างไร
(ตามบทต่อไป)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น